เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
Toggleการดูแลผิวหน้าและการเสริมความงามด้วยด้วยการฉีดผิว ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ หรือ สารเติมเต็มกระตุ้นคอลลาเจน เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน การเลือกฉีดสารเติมเต็มที่เหมาะกับความต้องการและลักษณะผิวของคุณมีความสำคัญอย่างมาก อย่างตัว RADIESSE® ที่เป็นสารเติมเต็มพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนตัวใหม่ ซึ่งก็มีรุ่นพี่อย่าง Sculptra ที่เปิดตัวมาก่อน RADIESSE® นะคะ อยากจะบอกว่าทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้มีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน ตรงที่ช่วยในเรื่องของเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู ผิวมีความยืดหยุ่นขึ้น ลดริ้วรอย และยกกระชับผิว ซึ่งหลายคนก็อาจจะสงสัยกันว่าแล้วมันมีความแตกต่างกันที่ตรงไหน ในบทความนี้เพ็กซี่ก็จะพาทุกคนมาเจาะลึกกันว่า RADIESSE® และ Sculptra มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้คุณเข้าใจแนวคิดและความแตกต่างระหว่างสองผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก่อนที่จะตัดสินใจฉีด RADIESSE® และ Sculptra
RADIESSE® คืออะไร?
RADIESSE® หรือ เรเดียสซ์ คือ สารเติมเต็ม (Filling Substance) ชนิดหนึ่ง ที่มีส่วนประกอบหลักคือสาร CaHA (Calcium Hydroxylapatite -แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) อยู่ในกลุ่มของสารกระตุ้นคอลลาเจน (Biostimulator) ซึ่งมีจุดเด่นพิเศษคือช่วยทั้งเรื่องกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน จึงให้ผลลัพธ์ในการเติมวอลลุ่มให้ผิวแบบเห็นผลทันที และลดเลือนริ้วรอยร่องลึกต่างๆ ในระยะยาว จึงเหมาะในการแก้ปัญหาริ้วรอย และร่องลึกบนใบหน้าที่เป็นค่อนข้างมาก เช่นร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมไปถึงบริเวณหลังมือด้วยค่ะ
หน้าที่การฟื้นฟูผิวด้วย RADIESSE®
เมื่อฉีด Radiesse ที่มีส่วนประกอบเป็น CaHA เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังแล้ว ตัวเจลจะไปช่วยเติมเต็มวอลลุ่ม มีส่วนประกอบของน้ำ (น้ำกลั่นสำหรับยาฉีด USP), กลีเซอริน (USP), Sodium Carboxymethylcellulose (โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส) (USP) โดยเจลจะถูกปลดปล่อยในชั้นผิวและจะถูกเนื้อเยื่ออ่อนเจริญแทนที่ลดร่องลึกต่างๆ ได้ทันที ในขณะที่ CaHA จะยังคงอยู่ในบริเวณที่ฉีด และสาร CaHA จะเริ่มทำงาน กระตุ้นเซลล์ไฟโบรบาสต์ (Fibroblast) ที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิดคอลลาเจนให้ทำงาน เกิดเป็นการสร้างโครงเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ โดยการสร้างจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 สัปดาห์ ไปจนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น ทดแทนตัวเจลฟิลเลอร์ที่จะค่อยๆ สลายไปก่อน ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ได้คือการฟื้นฟูสภาพผิวและการเติมเต็ม จำพวก ริ้วรอย ความกระชับ และร่องลึกต่างๆ ดีขึ้นได้ในระยะยาว
ส่วนประกอบสำคัญ RADIESSE®
CaHA ใน Radiesse เป็น Biostimulator ชนิดนึง ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันมี Biostimulator ที่นิยมหลายตัว เช่น PLLA(Sculptra) , PCL (Gouri) และยังมีตัวอื่นๆ ที่เราไม่ได้พูดถึงอีกมากมาย ซึ่งข้อดี ข้อเสีย และการฉีดของแต่ละตัวก็จะแตกต่างกันไปค่ะตามยี่ห้อที่ผลิต
สำหรับ Radiesse นั้น ได้ผ่านการรับรองจาก US FDA และ อย.ไทย โดยเป็นการใช้สารกระตุ้นคอลลาเจนชนิด CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ซึ่งสารตัวนี้จะพบได้อยู่แล้วในกระดูกและฟัน ซึ่งปัจจุบันมักนำสารนี้มาใช้ในการแพทย์ เช่นการปลูกถ่ายกระดูกและการรักษาฟัน ด้วยความที่สารมีความเข้าได้กับร่างกายอย่างดี (Biocompatibility) และไม่เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อต้าน (Non-immunogecin properties) จึงเป็นสารที่มั่นใจได้ในความปลอดภัย
RADIESSE® สร้างรูปหน้าให้ดูเด็ก
ฟื้นฟูผิวที่ให้พลังความอ่อนเยาว์ 5 ประการ
สาร CaHA มีการใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 25 ปี และเป็นสารที่พบได้ในร่างกายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม ดังนั้น synthetic CaHA ของ RADIESSE® จึงมีความปลอดภัยสูง เข้ากันได้กับร่างกาย และสามารถสลายไปตามธรรมชาติด้วยระบบ Normal Homeostatic Mechanisms ของร่างกายตามปกติ ได้เป็น Calcium และ Phosphate ion
REGENERATIVE BIOSTIMULATOR ฟื้นฟูผิวครบ 5 องค์ประกอบที่เหนือกว่าใคร
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 1 สูง 150%
- เพิ่มคอลลาเจน TYPE 3 สูง 130%
- เพิ่มความยืดหยุ่นด้วย Elastin สูง 260%
- เพิ่มความชุ่มชื้นด้วย Proteoglycan
- เติมอาหารผิวด้วย Angiogenesis
คุณสมบัติเด่นของ RADIESSE®
- Strong Structural Skin เสริมความแข็งแรงถึงชุดโครงสร้างรอบเซลล์ผิว พร้อมเติมเต็มส่วนแก้มให้ฟูนวลเป็นธรรมชาติ
- Profound Rejuvenation ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนในเนื้อเยื่อผิวหนังให้ยืดหยุ่นกระชับ แม้สภาพผิวมากริ้วรอยหย่อนคล้อยจากมลภาวะและความชรา
- Cell Regenerative Stimulation กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ใต้ผิวให้เต็มฟูกระจ่างใสและมีสุขภาพดี
RADIESSE® เหมาะกับใคร
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่น สุขภาพผิวไม่ดี ขาดการบำรุง ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ สภาพผิวแย่กว่าอายุที่ควรจะเป็น
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่มีผิวหนังขาดความชุ่มชื้น หมองคล้ำ
- ผู้ที่มีใบหน้าขาดวอลุ่ม เช่น ใต้ตาโหลลึก ขมับตอบ
- ใครก็ตามที่มีร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รอยย่นรอบปาก
- ผู้ที่มีผิวขาดวอลุ่ม จากการสูญเสียไขมันและคอลลาเจนตามร่างกาย เช่น หลังมือ และขมับ
RADIESSE® ฉีดจุดไหนได้บ้าง
Radiesse เป็นสารช่วยเพิ่มวอลลุ่ม ทดแทนไขมันและคอลลาเจนที่ลดลงได้ดี โดยมีตำแหน่งที่เหมาะกับการฉีดดังนี้
- ร่องแก้ม เส้นข้างแก้ม ซึ่งอาจเป็นร่องลึกขึ้นตามอายุ ซึ่งถ้ามีร่องเฉพาะเวลายิ้มจะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าร่องเห็นเป็นรอยชัดในหน้าตรง ก็สามารถเติมเพื่อทำให้หน้าดูเด็กลง และทำให้ร่องตื้นขึ้นได้
- ร่องน้ำหมาก เส้นที่ลากจากมุมปากลงมาถึงบริเวณคาง เส้นนี้ถ้ามีจะทำให้ดูมีอายุ
- หน้าแก้ม บริเวณนี้มักขาดวอลลุ่ม เมื่ออายุมากขึ้น การเติมเต็มบริเวณนี้จะช่วยยกกระชับ หน้าเด็กลง และทำให้ผิวดีขึ้นอีกด้วยค่ะ
- กรอบหน้า สามารถใช้ Radiesse ช่วยทำให้กรอบหน้าคมชัดยิ่งขึ้น ช่วยให้หน้ากระชับขึ้น
- รอบริมฝีปาก รอยย่นรอบริมฝีปาก จากการยิ้ม สามารถใช้ radiesse เติมเต็มได้เช่นกันครับ
- ขมับ Radiesse สามารถแก้ปัญหาขมับตอบ ที่ทำให้ดูมีอายุ
- หลังมือ มือเป็นอีกตำแหน่งที่ทำให้ดูมีอายุ จากการสูญเสียไขมัน ทำให้เห็นเส้นเอ็นและเส้นเลือดชัดเจน การเติมด้วย Radiesse ก็จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
บริเวณที่ไม่แนะนำให้ฉีด คือ ริมฝีปาก เพราะจะทำให้เกิดเป็นตุ่มจากการกระตุ้นของ CaHA ได้ หากต้องการเติมริมฝีปาก แนะนำให้เป็นฟิลเลอร์ชนิดที่ไม่มี Biostimulator มากกว่าเดิมได้ค่ะ
ฉีด RADIESSE® จะเห็นผลได้เมื่อไหร่
หลังจากฉีด Radiesse จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที จะช่วยยกผิวเกิดความกระชับ ร่องลึกต่างๆ ที่ตื้นขึ้น ริ้วรอยจางลง และ หลังจากการฉีด Radiesse ไปแล้ว 3-4 สัปดาห์ CaHA ใน Radiesse จะเริ่มออกฤทธิ์กระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวเกิดการเปลี่ยนแปลง คุณภาพผิวบริเวณที่ฉีดดีขึ้น กระชับขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และวอลุ่มบริเวณนั้นก็จะดีขึ้นเช่นกัน
Sculptra คืออะไร?
Sculptra เป็นสารเติมเต็มผิวหนังชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย เป็นสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator มีคุณสมบัติเฉพาะตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนตามกระบวนการธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าไปในผิวหนังแล้ว Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จะไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น ซึ่ง Sculptra ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ให้เป็นการรักษาริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย
Sculptra กระตุ้น collagen type 1 ได้ยังไง
ในร่างกายคนเรามีการค้นพบว่ามีคอลลาเจนมากกว่า 16 ชนิด แตกต่างไปตามตำแหน่งของร่างกาย โดยชนิดของคอลลาเจนที่เราจะสามารถพบได้บ่อยคือ Type 1 , 2 และ 3
- คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) ซึ่งพบมากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย และสำคัญที่สุดช่วยในการเสริมความยืดหยุ่น การสมานแผล สามารถพบได้ในผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด
● คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) เป็นชนิดที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 พบมากในกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ มีหน้าที่ช่วยในการสร้างกระดูกอ่อน
● คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) มักพบร่วมกับประเภทที่ 1 คือพบในผิวกล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื้อเกี่ยวพันในร่างกาย แต่พบได้น้อยกว่าประมาณ 10 %
ผิวหนังมีคอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นโครงสร้างหลัก จึงมีแรงสปริงและยืดหยุ่นดีตามไปด้วย แต่หลังจากอายุ 25 ปี โดยเฉลี่ยร่างกายของเราจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงปีละ 1 % ในขณะที่อัตราการสลายคอลลาเจนยังเท่าเดิม ทำให้ปริมาณคอลลาเจนในร่างกายลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความแข็งแรงของผิวลดลงเมื่ออายุมากขึ้น เกิดความหย่อนคล้อย และริ้วรอยตามมา
ซึ่ง Sculptra ช่วยในการกระตุ้น collagen type 1 เป็นหลัก โดยจากผลการวิจัยพบว่า Sculptra จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิต Collagen type1 สูงถึง 66.5% หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน ซึ่งถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่สามารถผลิต Collagen type1 ได้มากเทียบเท่ากับ Sculptra เลยในตอนนี้
Sculptra ช่วยอะไรได้บ้าง?
- กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่
- เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอย
- ยกกระชับผิว
- ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น
- ฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว
- กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือได้รับความเสียหายจากมลภาวะและอนุมูลอิสระ
- กระตุ้นการสร้างไฟโบรบลาสต์ ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้น
- กักเก็บน้ำและรักษาสมดุลน้ำในเซลล์ผิว
Sculptra สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง?
Sculptra สามารถฉีดได้ทั่วร่างกาย แต่หากเป็นที่ใบหน้ามักใช้ฉีดบริเวณริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยระหว่างคิ้ว รอยย่นที่คอ และผิวหย่อนคล้อยทั่วใบหน้าและลำคอ สามารถใช้รักษาริ้วรอยรอบปากได้เช่นกัน แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าการฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์ของการฉีด Sculptra
Sculptra เป็นการรักษาแบบฉีด แพทย์จะฉีดกรดโพลิ-L-แลกติกเข้าไปในผิวหนังด้วยเข็มขนาดเล็ก การรักษามักใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผลของ Sculptra จะค่อยๆ ปรากฏขึ้น โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์จึงจะเห็นผลเต็มที่และผลลัพธ์จะคงอยู่นานถึง 2 ปี
Sculptra อันตรายไหม?
Sculptra เป็นการรักษาผิวที่มีริ้วรอยที่ปลอดภัย แต่อาจเกิดผลข้างเคียงหลังฉีดได้ เช่น รอยแดง บวม ช้ำ และเจ็บปวดที่บริเวณที่ฉีด แต่ในบางคนอาจจะเกิดอาการแพ้ได้ สิ่งสำคัญคือต้องพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษา
สรุปความแตกต่างระหว่าง RADIESSE® และ Sculptra
RADIESSE® สารเติมเต็มที่ใช้สำหรับเสริมความยืดหยุ่นและลดริ้วรอยในผิวหน้า มันประกอบด้วยสารที่เรียกว่า Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่ปลอดภัยและได้รับการอนุมัติจาก FDA เพื่อสร้างผลลัพธ์ทันทีและกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาวนานประมาณกว่า 2 ปี
Sculptra เป็นสารเติมเต็มที่ใช้สาร poly-L-lactic acid (PLLA) เป็นส่วนประกอบหลัก โดย Sculptra ไม่ให้ผลลัพธ์ทันทีเหมือน RADIESSE® แต่มันทำงานโดยกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์ของ Sculptra จะเห็นได้ช้ากว่าแต่มีความทนทานและยืดหยุ่นมากยาวนานมากถึง 2 ปี
เรามาดูความแตกต่างระหว่าง RADIESSE® และ Sculptra ในตารางเปรียบเทียบด้านล่างเพื่อให้คุณเข้าใจโดยง่าย
และนี่ก็คือข้อมูลที่เราสรุปมาให้นะคะ ทีนี้ทุกคนก็รู้แล้วเนอะว่า RADIESSE® ต่างจาก Sculptra อย่างไร เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้แล้ว ทั้งนี้หากจะเลือกฉีดสารเติมเต็มไม่ว่าจะ RADIESSE® และ Sculptra สิ่งสำคัญต้องเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคลิกนิกที่มีมาตรฐาน สามารถเข้ามาฉีดได้ที่ Apex Medical Center ทุกสาขาเรามีมากกว่า 45 สาขาทั่วประเทศ
สนใจนัดจองคิวหรือปรึกษาเพิ่มเติม ทักก่อนสวยก่อนใครได้ที่ ✨✨
📞 085-0000855
🟣 Line OA : @apexlifting (มี @ นำหน้าด้วยนะคะ)
🟣 คลิก https://lin.ee/nxtKNtl
🟣 Facebook : Apex Profound Beauty
🟣 Inbox : https://m.me/apexprofoundbeauty
🟣 IG : apexbeauty
APEX ของเรามีพร้อมทั้งเครื่องมือที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการนะคะ