Previous slide
Next slide

Facelift (ดึงหน้า)

ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาก้าวกระโดดไปอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม หรือศัลยกรรมตกแต่ง ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้มากขึ้น ในขณะที่ผลข้างเคียงน้อยลง เป็นการผ่าตัดเล็ก เปิดผิวน้อยกว่าครึ่งเซ็นติเมตร ใช้เวลาในการทำเพียง 1-2 ชั่วโมง ลดระยะเวลาการพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในเวลาเพียง 3-4 วัน การดึงหน้า หรือ facelift เทคนิคใหม่นี้จึงเป็นหนึ่งในความนิยมของผู้คนจำนวนมาก ช่วยแก้ปัญหาความบกพร่องของรูปหน้า อาทิ คิ้วตก ตาตก แก้มห้อยย้อย หรือ กรอบหน้าหย่อนคล้อย เหนียง ช่วยเก็บผิวที่หย่อนคล้อย กำจัดไขมันส่วนเกินที่ห้อยย้อย ทำให้ผิว โครงหน้า และคอกลับมากระชับอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถลดอายุลงได้ 10-20 ปี ใบหน้าดูสดใสและสวยงาม เพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น

อ่านหัวข้ออื่นๆเพิ่มเติม

‘Facelift’ คืออะไร?

คำว่า ‘face lock’ นั้นไม่ใช่ศัพท์ทางการแพทย์ แต่เป็น “ศัพท์ทางการตลาด” ที่ตั้งขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้คนสนใจมากขึ้น จึงไม่มีความหมายทางการแพทย์ แล้วแต่ที่ผู้คิดค้นจะสร้างความหมายขึ้นตามที่ต้องการ ส่วนคำว่า facelift นั้นเป็น “ศัพท์ทางการแพทย์” หมายถึงการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งแบ่งได้เป็นหลายส่วน เช่น ใบหน้าส่วนบน บริเวณหน้าผาก (Forehead) บริเวณหางตาและคิ้ว ใบหน้าส่วนกลาง (midface) โหนกแก้ม ใบหน้าส่วนล่างและคอ (lower face and neck) คำว่า “Facelift” จึงเป็นคำรวมๆ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีกตามเทคนิคการผ่าตัดและตามส่วนที่ผ่าตัด เช่น

  • Full-facelift คือ การผ่าตัดดึงหน้าทุกส่วนทั้งส่วนบน กลาง ล่างและลำคอ
  • Forehead lift คือ การผ่าตัดดึงเฉพาะหน้าผาก
  • Brow lift คือ การผ่าตัดยกคิ้ว ทำให้ดวงตาโตขึ้น คิ้วยกขึ้น
  • Midface lift  คือ การผ่าตัดดึงใบหน้าส่วนกลาง แก้ม ส่วนล่างของตา
  • Neck lift คือ การผ่าตัดดึงเฉพาะบริเวณลำคอ

ดึงส่วนไหน แก้ปัญหาอะไร?

  1. ดึงหน้าผาก (Forehead Lift) – เหมาะสำหรับผู้ที่มีหัวคิ้วย่น มีรอยย่นบนหน้าผาก หางตาตก และคิ้วต่ำลงมา จนรบกวนการมองเห็น ต้องเลิกคิ้วในการมองอยู่ตลอด โดยปกติหน้าผากเราจะมีกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง เมื่อเลิกคิ้วเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดริ้วรอยดังกล่าว
  2. ดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา (Upper Facelift/Temporal Lift) – การดึงใบหน้าส่วนนี้ สำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาหางตาตก ตาเศร้า โหนกแก้มเริ่มหย่อนคล้อย ในส่วนนี้ จะทำให้ใบหน้าดูยกขึ้น รอยตีนกาและริ้วรอยบริเวณหางตาลดลง ใบหน้าส่วนบนก็จะตึงและดูกระชับขึ้น
  3. ดึงใบหน้าส่วนกลางเเละส่วนล่าง (Lower Facelift) – แก้ไขปัญหาร่องแก้มที่ลึกให้จางลง แก้ไขร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าส่วนล่างตึงและถูกยกขึ้น ให้ใบหน้าเรียวเป็น V-shape
  4. ดึงคอ (Neck Lift) – ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย ลดเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง

ผู้ที่เหมาะกับการผ่าตัดดึงหน้า

  1. ผู้ที่มีปัญหาหรือต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย 
  2. ไม่จำกัดอายุ พิจารณาตามสภาพผิวและความหย่อนคล้อยของใบหน้า และความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัด 
  3. น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากต้องการลดน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักให้ได้ตามที่ต้องการก่อนการผ่าตัด 
  4. ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด เช่น โรคที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Hemophilia) โรคที่มีความผิดปกติของการหายของแผล (Ehlers-Danlos Syndrome) เป็นต้น 
  5. ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร 
  6. มีความคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผล 
  7. มีสุขภาพจิตปกติ 

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการผ่าตัดดึงหน้า

การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงแต่ไม่ใช่ว่าความเสี่ยงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับทุกคน  แพทย์จะให้คำปรึกษาและประเมินความเสี่ยง ให้โอกาสในการซักถามข้อสงสัย จากนั้นจึงร่วมกันในการตัดสินใจในการผ่าตัด 

สิ่งที่มักสร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดดึงหน้าคือแผลเป็นและผลลัพธ์ที่ได้ 

  1. รอยแผลเป็น หากไม่มีประวัติแผลเป็นประเภทคีลอยด์มาก่อน มักจะได้รับผลลัพธ์ที่เรียบเนียน ซ่อนในตำแหน่งที่เหมาะสม  
  2. ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ตรงกับที่ต้องการ แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถให้คำแนะนำ และออกแบบการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด  
  3. ความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ ภาวะเลือดออก (Bleeding) เลือดคั่ง (Hematoma) และภาวะแทรกซ้อนในการหายของแผล ผิวหนังขาดเลือดมาเลี้ยง (Skin necrosis) ซึ่งมักพบในคนที่สูบบุหรี่จัดหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น แต่หากควบคุมอาการได้ดีก็ไม่ใช่ข้อห้ามในการผ่าตัด   
  4. การยืด ดึงรั้งหรือตัดขาดของเส้นประสาทใบหน้า Facial Nerve injury (ซึ่งพบได้น้อยเพียง 1-3% เท่านั้น) ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าบางส่วนไม่สามารถทำงานได้ แต่โดยส่วนมาก (90-95%) จะกลับมาทำงานได้ตามปกติภายใน 3-6 เดือน

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

6 เดือน ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า 

  • งดยารักษาสิวชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามิน A (Isotretinoin) เพราะอาจมีผลต่อการหายของแผล 
  •  งดการทำ Botox, Filler  บริเวณใบหน้า   

3 เดือน ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า 

  • เตรียมความพร้อมของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ  
  • ตรวจสุขภาพประจำปี หากมีโรคประจำตัว ควรพบแพทย์เพื่อรักษาและควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะปกติ 
  • งดการทำ Laser  ร้อยไหมบริเวณใบหน้า   

4 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า 

  • งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ 
  • งดการเจาะ/สักร่างกาย หรืออาบแดด    
  • หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงที่ใกล้ หรือ กำลังมีประจำเดือน หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการเลื่อนประจำเดือน 

10 วัน ก่อนการผ่าตัดดึงหน้า 

  • งดยาที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด ได้แก่  
    • ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Ticlid, Plavix or Aggrenox.  
    • (โปรดปรึกษาแพทย์ประจำตัวถึงความปลอดภัยในการหยุดยา) 
    • ยาแก้ปวดประเภท Nsaids เช่น Ibuprofen, Advil, Motrin, Nuprin, Aleve, Relafen, Naprosyn,     
    • Diclofenac, Naproxen, Voltaren, Daypro, Feldene, Clinoril, Lodine, Indocin, Orudis เป็นต้น         
    • ยาระงับประสาท ยานอนหลับบางชนิด เช่น Zoloft, Lexapro, Prozac, Pristiq เป็นต้น 
  • งด วิตามิน อาหารเสริมทุกชนิด ที่อาจมีผลกับการแข็งตัวของเลือด เช่น Multivitamins, Fish oil, Omega3, Co-enzyme Q10, Evening Primrose Oil, Glucosamine, Arnica, Ginseng, Gingko, herbs เป็นต้น 

นอกจากคำแนะนำข้างต้นแล้ว ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดดึงหน้า ความเสี่ยง ผลลัพธ์ รวบรวมคำถามที่ไม่เข้าใจ ปรึกษาแพทย์ พูดคุยถึงความคาดหวังหลังการผ่าตัดศัลยกรรมกับแพทย์ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันและเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด  

สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ Apex Medical Center ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองค่ะ

Facelift