คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่พบได้ในเนื้อเยื่อของร่างกาย มีหน้าที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง เรียบเนียน และไร้ริ้วรอย ซึ่งการสูญเสียคอลลาเจนเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้ผิวดูแก่กว่าวัย เกิดริ้วรอย และหย่อนคล้อย แต่การจะเพิ่มคอลลาเจนได้อาจจะต้องใช้ตัวช่วยสักนิดหนึ่งนะคะ เพื่อให้ผิวของเรากลับมาเต่งตึงได้อีกครั้ง อย่าง SCULPTRA ที่กำลังเป็นกระแสแรงมากในตอนนี้ วันนี้ APEX จะมาแชร์วิธีการชะลอการเสื่อมคอลลาเจนและ SCULPTRA จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นใต้ผิว ที่เทียบเท่ากับการทาสกินแคร์ยังไง หากอยากรู้แล้วล่ะก็ตามไปอ่านกันได้เลยค่า~
การสูญเสียคอลลาเจนเกิดขึ้นได้ยังไง
การสูญเสียคอลลาเจนสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น อายุที่เพิ่มขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลงเรื่อยๆ ปัจจัยทางพันธุกรรมในบางคนมีแนวโน้มที่จะสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าคนอื่นๆและจากการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป
ผลของการสูญเสียคอลลาเจน
การสูญเสียคอลลาเจนสามารถส่งผลกระทบต่อผิวหลายประการ ดังนี้
- ผิวดูแก่กว่าวัย เกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อย
- ผิวแห้งและหยาบกร้าน
- ผิวมีรอยเหี่ยวย่น
- ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น
วิธีการชะลอการสูญเสียคอลลาเจน
วิธีการชะลอการสูญเสียคอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิวหน้าและรักษาความยืดหยุ่นของผิวให้มีสุขภาพดีและคงทนมากขึ้นตลอดเวลา นี่คือบทความที่กล่าวถึงวิธีการชะลอการสูญเสียคอลลาเจน
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวหน้าและร่างกาย แต่เป็นธรรมชาติของร่างกายที่คอลลาเจนจะสูญเสียลงเมื่อเราเกิดและมีการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อตามอายุ ดังนั้นการชะลอการสูญเสียคอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิวหน้าเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีตลอดเวลา
มีวิธีต่างๆ ในการชะลอการสูญเสียคอลลาเจนและปกป้องผิวจากการเสื่อมสภาพ ดังนี้
ทาครีมกันแดดหรือเลี่ยงการโดนแดด
การสูญเสียคอลลาเจนสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่เราไปโดนแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงที่แดดกำลังแรงอย่างช่วงเวลาหลัง 10:00 น. – 16:00 น. ซึ่งในช่วงเวลานี้แสงแดดจะมีรังสี UV อยู่ค่อนข้างมาก และเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องสูญเสียคอลลาเจน เราจึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดในช่วงเวลาดังกล่าว หรือหากมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปกลางแจ้งก็ควรจะป้องกันผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 + PA + + + ขึ้นไปค่ะ
หลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆ
มลภาวะต่าง ๆ ก็สามารถทำให้ร่างกายสูญเสียคอลลาเจนได้เช่นกันค่ะ อย่างการเดินตามท้องถนนที่ต้องผจญกับฝุ่นควัน มลพิษ PM2.5 สิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียต่อผิวได้เช่นเดียวกัน เพราะมลภาวะจะเข้าไปทำลายเซลล์ผิว ทำให้ร่างกายเกิดอนุมูลอิสระและเกิดการอักเสบ ซึ่งก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียคอลลาเจนไปเพราะสาเหตุนี้ เราจึงควรที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปยังบริเวณที่เป็นแหล่งของมลภาวะนั่นเองค่ะ
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และนอกจากนี้ยังสามารถทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ เกิดสารอนุมูลอิสระซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย การที่เราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยได้ ผิวพรรณดูโทรมไม่สวยเปล่งปลั่ง เพราะฉะนั้นการที่เรางดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงมีส่วนช่วยในการชะลอการสูญเสียคอลลาเจนได้ค่ะ
ดูแลอย่าให้ผิวแห้ง
การเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวนั้นมีส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้คอลลาเจนไม่สูญเสียไป ซึ่งการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวมีทั้งการใช้ครีมบำรุงผิวและมอยเจอไรซ์เซอร์ รวมถึงการดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร วิธีเหล่านี้สามารถช่วยให้ผิวของเรายังคงชุ่มชื้นไม่แห้งตึง และทำให้ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย ช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนจากผิวได้ค่ะ
รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจน
อยากให้ผิวสวยเด้ง นอกจากจะต้องดูแลบำรุงผิวภายนอกแล้ว การบำรุงผิวจากภายในอย่างการเลือกรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนก็จะช่วยทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัยได้ค่ะ ซึ่งอาหารที่เป็นแหล่งคอลลาเจนก็อย่างเช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน อโวคาโด น้ำมันมะกอก เหล่านี้ถือเป็นอาหารที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวค่ะ ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยลดริ้วรอยและช่วยในการปกป้องร่างกายไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระต่างค่ะ
การเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิวหนัง
เรามักจะได้ยินวิธีการเสริมคอลลาเจนในผิวหนังหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทา การฉีด การรับประทาน การทำหัตถการทางผิวหนังเช่นการทำเลเซอร์ แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนี้
การทาคอลลาเจน พบว่าทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากคอลลาเจนชนิดทามีความสามารถในการเคลือบผิวหนังได้ แต่เนื่องจากคอลลาเจนมีขนาดโมเลกุลใหญ่มาก จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังเข้าไปยังผิวหนังชั้นในได้ จึงไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยได้ ผลที่ได้จากการทาคอลลาเจนคือผลการเคลือบผิวหนังชั้นบน ทำให้เกิดความชุ่มชื้นเท่านั้น
การฉีดคอลลาเจน ในอดีตมีการฉีดคอลลาเจนสังเคราะห์จากสัตว์ แต่พบว่ามีอัตราการแพ้สูงมาก ปัจจุบันจึงนิยมฉีดสารเติมเต็ม (Filler) กลุ่มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) มากกว่า ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ทั้งนี้ความสามารถในการแก้ผิวหนังหย่อนคล้อยอาจไม่เหมือนกับคอลลาเจน
การรับประทานคอลลาเจน แหล่งอาหารที่มีคอลลาเจนสูง เช่น หนังสัตว์ เอ็น เยลลี่ เจลาติน รวมทั้งคอลลาเจนสังเคราะห์ที่ผสมในอาหารเสริม และเครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งนี้พบว่าเมื่อรับประทานไปแล้ว คอลลาเจนซึ่งมีขนาดโมเลกุลใหญ่จะถูกย่อยในทางเดินอาหารก่อนจะดูดซึมผ่านผนังลำไส้ในรูปกรดอะมิโน ดังนั้น การรับประทานคอลลาเจนจะไม่ได้คอลลาเจนเข้าไปถึงผิวหนังได้ เนื่องจากถูกย่อยที่ลำไส้ก่อนดูดซึม
จะเห็นได้ว่าวิธีดังกล่าวข้างต้น ไม่สามารถทำให้เกิดการเพิ่มคอลลาเจนในผิวหนังได้ ทั้งนี้การเพิ่มคอลลาเจนในผิวหนังเพื่อแก้ไขความหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องทำการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังเอง ซึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญที่นิยมใช้ ได้แก่ การใช้เลเซอร์และเครื่องปล่อยพลังงานบางชนิด เพื่อทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวหนัง และก่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนได้
นอกจากกลุ่มของเลเซอร์แล้วเนี่ย ก็ยังมีนวัตกรรมในกลุ่มฉีดที่ยังสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวอีกด้วยค่ะ นั่นก็คือ “SCULPTRA” ที่มีสาร PLLA อยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งทำหน้าที่ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกายของตัวเองตามธรรมชาติให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อทดแทนคอลลาเจนเดิมที่สูญเสียไปตามอายุ นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว ช่วยให้ผิวยกกระชับ คืนความแข็งแรง ความยืดหยุ่น พร้อมช่วยฟื้นคืนคุณภาพผิวให้กลับมาดียิ่งขึ้น
SCULPTRA คืออะไร?
SCULPTRA คือ สารกำเนิดคอลลาเจนในรูปแบบฉีด ที่ประกอบด้วย PLLA (Poly-L-Lactic acid) กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็ม และยกกระชับใบหน้า อยู่ได้นานถึง 2 ปี และคงรูปได้ดีกว่าฟิลเลอร์ชนิด HA (Hyaluronic Acid) ทั่วไป
PLLA หรือ Poly-L-Lactic acid เป็น Biostimulator ตัวแรก ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาและถูกใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1999 ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เป็นสารสังเคราะห์จากพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างใต้ชั้นลึกของผิว เพื่อยกกระชับและลดริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น เป็นสารที่ปลอดภัย และใช้มานานในทางการแพทย์ สามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย ใช้ในการผลิตเป็นไหมละลาย เป็นน็อต หรือ แผ่นเพลท ที่ใช้ในการยึดกระดูกด้วย และสารตัวนี้ก็ผ่านการตรวจสอบ และอนุมัติให้ใช้งานได้ทั่วโลก จึงมั่นใจได้ว่า สารตัวนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ฉีด SCULPTRA เทียบเท่ากับการทาสกินแคร์ยังไง?
หลักการทำงานของ SCULPTRA ลักษณะของเขาจะเป็นผง ก่อนฉีด SCULPTRA จะถูกผสมด้วย Sterile water ถูกฉีดในผิวหนังชั้นลึก Subcutaneous เมื่อฉีด SCULPTRA เข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก ตัวยาจะเริ่มกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ผิวจะดูเติมเต็มทันทีหลังฉีด SCULPTRA เนื่องจากปริมาตรน้ำที่ฉีดเข้าไป
หลังจากฉีดไปแล้ว 2-3 วัน น้ำและส่วนประกอบต่างๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยจะเหลือเพียงแค่อนุภาคของ SCULPTRA ทำให้อาจจะเห็นร่องลึก ริ้วรอยกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม SCULPTRA จะเริ่มกระตุ้นผ่านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยดึงเซลล์ Macrophages มาล้อมรอบอนุภาคของ SCULPTRA จำนวนมาก และมีการส่งสัญญาณให้เซลล์ Fibroblast เข้ามารวมตัวกันมากขึ้น Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างผิวหนัง ช่วยสร้างความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวภายใน
เมื่อเวลาผ่านไป PLLA จะค่อยๆ เสื่อมสลายไป แต่การสะสมของคอลลาเจน ยังคงอยู่จึงสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างยาวนาน โดยขบวนการดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 5 หลังรับการรักษาและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้ผลิตคอลลาเจนของตัวเองอีกครั้งเรื่อยๆ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน 2-3 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ผิวจะมี Volume ขึ้น ช่วยทำให้ผิวกลับมาอ่อนเยาว์มากขึ้น
โดยตามผลการวิจัย Sculptra จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการผลิต Collagen Type-1 สูงถึง 66.5% หลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน ซึ่ง collagen type1 เป็นคอลลาเจนตัวที่ผิวของเราต้องการมากที่สุดด้วยโดยทั่วไปควรจะทำการ ฉีด 2 – 3 ครั้ง โดยเว้นระยะในทุกๆ 4 – 6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนานและให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
จุดเด่น SCULPTRA ปูผิวเด็ก กลบความเหี่ยว
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน
- คุณภาพผิวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน้าดูเด็กลง
- โครงสร้างผิวดีขึ้นจากภายใน ความแน่นของผิว ความชุ่มชื้น ดีขึ้น
- ช่วยชะลอวัย ลดอัตราการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิว
- ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนาน 25 เดือน
หลังการรักษาด้วย SCULPTRA สามารถเห็นผลได้ทันทีเลยหรือไม่ ผลลัพธ์อยู่ได้นานเท่าไหร่?
ผลลัพธ์หลังการรักษาด้วย Sculptra จะยังไม่สามารถเห็นผลลัพธ์หลังทำได้ทันที หรืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง หน้าจะดูไม่แข็งแต่ให้ความเป็นรรรมชาติมาก เพราะอนุภาคของ Sculptra หรือสาร PLLA-SCA จะค่อย ๆ เข้าไปทำปฏิกิริยาในใต้ชั้นผิวลึกและเริ่มกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวของตัวเองให้เพิ่มขึ้น ทำให้จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงได้หลังการฉีดไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะเห็น ผลลัพธ์ต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ปี
สนใจนัดจองคิวหรือปรึกษาเพิ่มเติม ทักก่อนสวยก่อนใครได้ที่ ✨✨
📞 085-0000855
🟣 Line OA : @apexlifting (มี @ นำหน้าด้วยนะคะ)
🟣 คลิก https://lin.ee/nxtKNtl
🟣 Facebook : Apex Profound Beauty
🟣 Inbox : https://www.facebook.com/ApexProfoundBeauty/inbox
🟣 IG : apexbeauty
APEX ของเรามีพร้อมทั้งเครื่องมือที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการนะคะ
#Apex #apexmedicalcenter #เอเพ็กซ์ #เอเพ็กเมดิคอลเซ็นเตอร์ #เสริมความงาม #คลินิกเสริมความงาม #sculptra #sculptra ราคา #ฉีด sculptra #sculptra filler #Sculptra treatment #sculptra apex #sculptra คืออะไร #sculptra ที่ไหนดี #การทำ sculptra ดีอย่างไร #Sculptra clinic
Apex, apexmedicalcenter, เอเพ็กซ์, เอเพ็กเมดิคอลเซ็นเตอร์, เสริมความงาม, คลินิกเสริมความงาม, sculptra, sculptra ราคา, ฉีด sculptra, sculptra filler, Sculptra treatment, sculptra apex, sculptra คืออะไร, sculptra ที่ไหนดี, การทำ sculptra ดีอย่างไร, Sculptra clinic