คอลลาเจน เริ่มลดลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่? ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวหน้าเหี่ยวย่นก่อนวัย
“คอลลาเจน” ตัวช่วยทำให้ผิวหน้าของเราเรียบเนียนตึงกระชับ แต่หากคอลลาเจนลดลงจำนวนมากเกินไป ก็อาจทำให้ผิวของเราเหี่ยวย่นจนดูหน้าแก่ก่อนวัยได้เช่นกัน ซึ่งก่อนที่เราจะไปดูวิธีดูเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวหน้า เราไปทำความรู้จักกับคอลลาเจนกันก่อนดีกว่าว่าคืออะไรและเริ่มลดลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่
คอลลาเจนคืออะไร?
คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง โดยมีสัดส่วนสูงถึง 80 % ทำหน้าที่คล้ายกับกาวและเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เล็บ เอ็น และข้อ โดยคอลลาเจนจะอยู่ที่ผิวหนังชั้นล่าง (ชั้นหนังแท้ หรือ dermis) ทำให้การทาครีมทั่วไปจะไม่มีผลโดยตรงถึงคอลลาเจนในผิวหนัง โดยในร่างกายคนเรามีคอลลาเจนมากถึง 16 ชนิด โดยชนิดที่เราจะสามารถพบได้บ่อยมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด ดังนี้
คอลลาเจน 4 ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยในร่างกาย
- คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุดในร่างกาย ช่วยในการเสริมความยืดหยุ่น การสมานแผล สามารถพบได้ในผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด
- คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) เป็นชนิดที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 พบมากในกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ มีหน้าที่ช่วยในการสร้างกระดูกอ่อน
- คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) เป็นชนิดที่มักจะพบในผิวหนัง กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด
- คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V) สามารถพบได้ในบริเวณเดียวกันกับชนิดที่ 1 หรือใต้ชั้นผิวหนัง และในเนื้อเยื่อของทารกในระหว่างตั้งครรภ์
คอลลาเจนเริ่มลดลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
- ช่วงอายุ 20+ ปัญหาผิวจะเกิดตรงบริเวณชั้นผิวหนังแท้ โดยคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ที่ทำให้ผิวหนังมีความเรียบตึง กระชับ และยืดหยุ่น เกิดการเสื่อมสลายไป มีการสร้างใหม่น้อยลง ผิวเริ่มมีริ้วรอยและเกิดความหย่อนคล้อย ผิวหน้าดูไม่สดใสเหมือนวัยรุ่น
- ช่วงอายุ 30+ ปัญหาในชั้นผิวหนังแท้เริ่มมีมากขึ้นเพราะคอลลาเจน และ อิลาสตินถูกทำลายมากขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับผิวชั้นนอกสุดหรือชั้นหนังกำพร้ามีการผลัดตัวช้าลง ทำให้ผิวดูหยาบกร้านมากยิ่งขึ้น จึงเริ่มเห็นริ้วรอยและความหย่อนคล้อยได้ชัดเจนขึ้น
- ช่วงอายุ 40+ ชั้นผิวเริ่มอ่อนแอมากขึ้น ปัญหาผิวได้ลงลึกไปถึงชั้นไขมันโดยมีการเสื่อมสลายไป ไม่หนาแน่นเหมือนในวัยเด็ก ทำให้ผิวเกิดการยุบตัว หรือที่เราเรียกว่า Baby Fat หายไปนั่นเอง นอกจากนี้ SMAS หรือ เนื้อเยื่อพังผืดที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ซึ่งทำหน้าที่โอบอุ้มผิวให้มีความกระชับได้รูป เริ่มเสื่อมสภาพและอ่อนแรง ทำให้การพยุงผิวแย่ลง รูปหน้าจึงเริ่มหย่อนคล้อย
- ช่วงอายุ 50+ ปัญหาผิวได้ลงลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ริ้วรอยยิ่งลึก ผิวหนังเริ่มบางลง รูปหน้าเริ่มเปลี่ยน เพราะมีการหย่อนคล้อยมาก โครงสร้างของใบหน้าอย่างกระดูกเกิดการยุบตัวลงตามธรรมชาติ ทำให้บางคนมีรูปหน้าไม่สมส่วน บางส่วนดูตอบ หรือดูบุ๋มลงไป
สาเหตุที่ทำให้คอลลาเจนลดลง
นอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงได้แล้ว คอลลาเจนยังสามารถลดลงได้จากอีกหลายสาเหตุด้วยกัน ดังนี้
- รังสียูวีจากแสงแดด รังสียูวีจากแสงแดดมีส่วนทำให้คอลลาเจนบนชั้นผิวลดลง โดยจะเข้าไปทำลายเซลล์ DNA ที่มีหน้าที่สร้างคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนในผิวสลายตัวในอัตราที่สูง
- สูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในร่างกายของเราโดยตรง รวมถึงยังทำลายสารอาหารในร่างกายอย่างวิตามินซีที่จำเป็นในการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติอีกด้วย
- ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ หากร่างกายขาดวิตามินซี ก็ส่งผลให้คอลลาเจนบนชั้นผิวน้อยลงตามมาได้ เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติได้
- กินน้ำตาลมากเกินไป น้ำตาลจะทำให้เกิดการอักเสบของร่างกายและส่งผลต่อคอลลาเจนในผิวหนังของเรา รวมไปถึงยังทำให้สูญเสียอิลาสตินอีกด้วย
- ความเครียด เมื่อเราเครียดร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “คอร์ติซอล” (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีส่วนทำลายคอลลาเจนบนชั้นผิว และลดการผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติได้
จากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าเราสามารถสูญเสียคอลลาเจนได้ง่ายมาก ๆ หากเราไม่อยากผิวหน้าเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย การฟื้นฟูรักษาคอลลาเจนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ โดยการฟื้นฟูรักษาคอลลาเจนนั้นมีมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะให้ผลลัพธ์ก็จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการเห็นผลลัพธ์ที่ช้าหรือเร็ว และคอลลาเจนจะอยู่ได้ยาวขนาดไหน ซึ่งวันนี้เรามีตัวช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ให้ผิวกลับมาตึงกระชับ ดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง ที่ให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 2 ปี อย่าง “SCULPTRA” มาแนะนำกัน
SCULPTRA คืออะไร?
SCULPTRA หรือที่หลายคนเรียกว่า “ไหมน้ำ” หรือ “เมโสคอลลาเจน” คือ อนุภาคที่มีขนาดเล็กมากของสาร Poly-L-Lactic Acid (PLLA) จัดอยู่ในกลุ่ม Collagen Biostimulator มีคุณสมบัติเฉพาะตัวโดดเด่นไม่เหมือนใคร ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนตามกระบวนการธรรมชาติ ได้ผลผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผิวแลดูกระชับและได้รับการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก ช่วยเติมน้ำให้ผิวมีความยืดหยุ่นจน ยกกระชับใบหน้า เห็นได้ชัดว่าผิวดีขึ้น มอบประสบการณ์พิสูจน์ได้ให้แก่ผู้ใช้พึงพอใจกับผลลัพธ์นานกว่า 2 ปี และคงรูปได้ดีกว่าฟิลเลอร์ชนิด HA (Hyaluronic Acid) ทั่วไป
หลักการทำงานของ SCULPTRA เริ่มขึ้นจากในส่วนลึกของผิว
สาร PLLA ใน SCULPTRA จะถูกฉีดเข้าไปยังส่วนลึกของผิวชั้นหนังแท้ ซึ่งอนุภาคขนาดเล็กของ PLLA จะกระจายไปทั่วผิว เพื่อเข้าไปกระตุ้นและเติมเต็มกระบวนการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยการเพิ่มปริมาณ “ไฟโบรบลาสต์” ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของคอลลาเจนและช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิวภายใน และใช้หลักการทำงานจากการเรียกเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ชื่อว่า “แมคโครฟาจ” มาช่วยทำหน้าที่ในการกักเซลล์ที่ผิดปกติ กำจัดเซลล์ที่ตายหรือได้รับความเสียหายจากมลภาวะและอนุมูลอิสระ จึงทำให้สามารถช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยก่อนวัยพร้อมคืนความอ่อนเยาว์ได้ และเมื่อเวลาผ่านไป PLLA จะค่อย ๆ เสื่อมสลาย แต่การสะสมของคอลลาเจนยังคงอยู่ จึงสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างยาวนานนั่นเอง
SCULPTRA ต้องทำกี่ครั้ง?
การฉีด SCULPTRA จะมีการประเมินปัญหาผิวของเรากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน จึงทำให้ปริมาณในการฉีดและความถี่ในการฉีดนั้น จะแตกต่างกันตามปัญหาของแต่ละคนนั้นเอง โดยส่วนใหญ่จะฉีดประมาณ 4 ครั้ง ห่างกันทุก ๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผลลัพธ์ของ SCULPTRA
โดยจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากการฉีดประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยจากผลวิจัยหลังการฉีด SCULPTRA จะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เองหลังจากฉีดไปแล้ว 3 เดือน
SCULPTRA เหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- ผู้ที่มีริ้วรอยก่อนวัย หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามวัย
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์จากการฉีดที่ยาวนาน
ผู้ที่ควรระวังในการฉีด SCULPTRA
- ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติการเกิดคีลอยด์หรือมีแผลเป็นนูน
- ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังหรือเกิดการอักเสบ
ผลข้างเคียงหลังฉีด SCULPTRA
อาการทั่วไปจะมีเพียงอาการบวม แดง ช้ำและมีอาการปวดเล็กน้อย ซึ่งหายได้เองใน 2-3 วันหลังฉีด ผลข้างเคียงอื่น ๆ อาจรวมถึงก้อนเล็กๆ ใต้ผิวหนัง โดยมีหรือไม่มีการอักเสบหรือผิวหนังเปลี่ยนสีก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
การดูแลหลังฉีด SCULPTRA
- ประคบเย็น เพื่อลดอาการปวด บวมช้ำได้
- นวดบริเวณที่ฉีดเบา ๆ ครั้งละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง โดยแนะนำให้นวด 5 วันหลังทำ
- แต่งหน้าได้หลังทำ 4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก อย่างการซาวน่า อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- หลี่กเลี่ยงกิจกรรมที่มีแดดจัด เช่น การอาบแดด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
- งดการทำทรีทเม้นต์ สครับ และเลเซอร์ผิว อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์หลังทำ
ความปลอดภัยของ SCULPTRA
PLLA หรือ Poly-L-Lactic acid เป็น Biostimulator ตัวแรก ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาและถูกใช้ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1999 เป็นสารสังเคราะห์จากพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เข้ากับเนื้อเยื่อผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ไม่มีตกค้าง ปัจจุบันมีมากกว่า 50 งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยในผู้ใช้โดยรวมแล้วกว่า 10,000 คน
สนใจนัดจองคิวหรือปรึกษาเพิ่มเติม ทักก่อนสวยก่อนใครได้ที่ ✨✨
📞 085-0000855
🟣 Line OA : @apexlifting (มี @ นำหน้าด้วยนะคะ)
🟣 คลิก https://lin.ee/nxtKNtl
🟣 Facebook : Apex Profound Beauty
🟣 Inbox : https://www.facebook.com/ApexProfoundBeauty/inbox
🟣 IG : apexbeauty
APEX ของเรามีพร้อมทั้งเครื่องมือที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการนะคะ
#Apex #apexmedicalcenter #เอเพ็กซ์ #เอเพ็กเมดิคอลเซ็นเตอร์ #เสริมความงาม #คลินิกเสริมความงาม #Filler #ฟิลเลอร์ #การฉีดฟิลเลอร์ #ฟิลเลอร์ปาก #ฟิลเลอร์คาง #ฟิลเลอร์จมูก #ฟิลเลอร์ปากกระจับ #ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ #ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา #ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี #ฉีดฟิลเลอร์ช่วยอะไร #ฉีดฟิลเลอร์2023
Apex, apexmedicalcenter, เอเพ็กซ์, เอเพ็กเมดิคอลเซ็นเตอร์, เสริมความงาม, คลินิกเสริมความงาม, Filler, ฟิลเลอร์, การฉีดฟิลเลอร์, ฟิลเลอร์ปาก, ฟิลเลอร์คาง, ฟิลเลอร์จมูก, ฟิลเลอร์ปากกระจับ, ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ, ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา, ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี, ฉีดฟิลเลอร์ช่วยอะไร, ฉีดฟิลเลอร์2023