ปัญหาผิวพรรณบนใบหน้าเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดที่สุดและบริเวณที่หลายคนมักจะกังวลมากเป็นพิเศษคือ ใต้ตา ทั้งปัญหาความหมองคล้ำ ความลึก ความโบ๋ ทำให้ดูเหมือนคนนอนไม่พอ ดูเหนื่อยล้า หน้าตาไม่สดใส จนส่งผลให้ดูแก่กว่าวัยได้ ซึ่งปัญหาใต้ตาสามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัยค่ะ มีสาเหตุได้จากหลายปัจจัย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนอายุน้อยและกลุ่มคนที่มีอายุ
- กลุ่มคนอายุน้อย อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป สามารถเกิดปัญหาใต้ตาลึกโบ๋ หมองคล้ำได้ ซึ่งปัญหาหลักๆ ของคนในกลุ่มวัยนี้จะเกิดจากกรรมพันธุ์ที่ส่งต่อมาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หากมองย้อนกลับไปถึงครอบครัวจะพบว่ามีคนที่ใต้ตาหมองคล้ำเหมือนกัน ถ้ายกตัวอย่างชัดๆ เช่น คนอินเดียที่จะมีใต้ตาคล้ำและเป็นเบ้าลึก
- กลุ่มคนที่มีอายุ อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ปัญหาใต้ตาที่เกิดในคนกลุ่มวัยนี้จะเป็นไปตามอายุที่มากขึ้น ทั้งมวลกระดูกที่เริ่มลดลง เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อและไขมันมีที่ยึดเกาะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ปริมาตรไขมันใต้ผิวหนังก็ค่อยๆ ลดลงตามอายุและเมื่อมวลกระดูกกับปริมาตรไขมันหายไป ลักษณะที่เกิดตามมาอย่างเห็นได้ชัดเจนคือใต้ตาหมองคล้ำ ตาโบ๋ ตาลึกเว้าลงเป็นร่อง ประกอบกับผิวหน้าบริเวณโหนกแก้มดูเป็นก้อนขึ้นมาส่งผลให้ใบหน้าดูโทรม ดูเหนื่อยล้า มีรูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นอกจากสาเหตุของพันธุกรรมและอายุที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ปัญหาใต้ตายังสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น การใช้ชีวิตประจำวัน, อาการเจ็บป่วย, ความเครียด, ภาวะขาดน้ำ, แสงแดด เป็นต้น
ใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไร
ปัญหาใต้ตาดำคล้ำ ขอบตาคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าไม่สดใส มักจะเกิดในคนสูงอายุได้ง่ายกว่าคนอายุน้อยหรือวัยรุ่นครับ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ การไหลเวียนเลือดจะลดลง ไขมันใต้ผิวหนังมีการสะสมตัวน้อย หนังตาเริ่มหย่อน ผิวบางลงทำให้สามารถสังเกตเห็นภาวะไหลเวียนของเลือดบริเวณเบ้าตาได้ง่ายขึ้นจึงมองเห็นขอบตาดำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสาเหตุหลัก ของการเกิดขอบตาดำ แบ่งออกเป็น
- กรรมพันธุ์
หากมีสมาชิกในครอบครัวมีปัญหาใต้ตาคล้ำ ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ ย่า ตา ยาย หรือคุณพ่อ คุณแม่ เราสามารถที่จะมีใต้ตาคล้ำได้ แต่พบได้น้อยแทบไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
- ภาวะเครียด
ปัจจุบันพบได้บ่อยมากขึ้น เนื่องจากคนเรามีภาวะเครียดที่มากขึ้นจากการทำงานหนักเกินไป นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ รับประทานทานแป้งมากเกินไป ทำให้เกิดการเสียสมดุลไประหว่างระดับออกซิเจน (O2) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในเลือด โดยมีระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่สูงขึ้นในเลือด ส่งผลให้สีของเลือดมีสีที่ดำเข้มกว่าปกติ ผิวบริเวณใต้ตาจึงดูคล้ำขึ้น
- ผิวหนังบางลงตามวัย
เมื่ออายุมากขึ้นชั้นผิวหนังบางลงและชั้นไขมันที่หายไปรวมถึงผิวบริเวณใต้ตา ทำให้เราเห็นสีของหลอดเลือดและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาที่ชัดมากขึ้น ส่งผลให้ใต้ตาดูคล้ำกว่าช่วงวัยที่มีอายุน้อยกว่า
- โรคภูมิแพ้
เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พบว่าทำไมในเด็กเล็กๆ หลายๆ คนจึงมีใต้ตาที่คล้ำ เนื่องจากเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้จะมีอาการคันบริเวณรอบดวงตา ดังนั้นเวลาที่ขยี้ตาจะทำให้หลอดเลือดดำบริเวณใต้ตาแตกตัวออก ส่งผลให้มีสีที่เข้มขึ้น รวมไปถึงมีการสร้างเม็ดสีที่เพิ่มมากขึ้นจากการบาดเจ็บของผิวหลังการขยี้ตา
ปัญหาใต้ตาแก้ไขได้ยังไงบ้าง
หลายคนอาจจะทราบกันดีอยู่แล้วถึงวิธีการแก้ปัญหาความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา อย่างเช่น การใช้ Eye Cream ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี โคจิก อาร์บูติน, การฉีดลดเม็ดสีใต้ตาและการยิงเลเซอร์ลดเม็ดสี เป็นต้น แต่ทว่าวิธีที่กล่าวถึงไปนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาได้เฉพาะเรื่องของสีผิวคล้ำหมอง ไม่มีตัวไหนเลยที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความลึก ความโบ๋บริเวณใต้ตาได้
แต่ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของนวัตกรรมต่างๆ ทางการแพทย์ความงาม รวมถึงเทคนิค ทำให้เกิดวิธีการหนึ่งขึ้นที่สามารถช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้ นั่นก็คือ ฟิลเลอร์ (Filler) ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งความหมองคล้ำและความลึก ความโบ๋ ได้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์คืออะไร? เอามาฉีดใต้ตาแล้วจะเป็นอันตรายหรือไม่
ฟิลเลอร์ (Filler) คือการฉีดสารเติมเต็ม ที่เรียกว่า เอชเอ (HA) หรือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เพื่อเข้าไปทดแทนและเติมเต็มใต้ผิวหนังในส่วนที่บกพร่องหรือต้องการแก้ไข ซึ่งฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เพื่อช่วยแก้ปัญหาในจุดที่ต่างกันไปบนใบหน้า
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แพทย์จะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจลนิ่มๆ เพราะผิวหนังบริเวณใต้ตามีความบางมากๆ เพื่อให้การฉีดเข้าไปไม่ดูแน่นฟูหรือเกิดเป็นก้อน การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเน้นให้เกิดความกระจ่างใสและดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ซึ่งการฉีดในแต่ละครั้งจะต้องอาศัยเทคนิค ทักษะและความเชี่ยวชาญของแพทย์เข้าช่วยด้วย
ในตลาดความงามของประเทศไทยมีฟิลเลอร์อยู่หลายยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. ของไทยและต่างประเทศแล้ว เช่น Juvéderm, Belotero, Restylane เป็นต้น ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึงมาตรฐานที่เป็นสากล มีความปลอดภัยสูงและให้ผลลัพธ์ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ที่เป็นไฮยาลูโรนิค แอซิด จะค่อยๆ สลายตัวไปตามธรรมชาติไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์แต่อย่างใด
วิธีแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา
ฉีดไขมัน
การฉีดไขมันใต้ตา เหมาะกับคนที่ร่องใต้ตาลึกและกว้างมาก ซึ่งการฉีดไขมันโดยใช้ไขมันของผู้เข้ารับบริการเองค่ะ ตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นจากบริเวณต้นขาหรือหน้าท้อง นำมาฉีดลงไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้ตา เพื่อให้เซลล์ไขมันไปสัมผัสกับเนื้อเยื้อภายในให้มากที่สุด ผิวที่ได้ก็จะกระชับ เต่งตึงและเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากมัก เอาง่ายๆ มีปัญหาแค่นิดเดียวเท่านั้นค่ะ โดยฉีดฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่เป็นร่องลึก เพื่อช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ทำให้ใต้ตาดูอวบอิ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาใต้ตายังไง?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยทดแทนเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใต้ตาที่สลายไป ทำให้ร่องลึกใต้ตาดูตื้นขึ้น เติมเต็มผิวหนังที่ยุบตัวให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ได้อีกหลายประการ ดังนี้
- ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ ที่อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ โรคภูมิแพ้ที่ใต้ตาทำให้เส้นเลือดใต้ตาขยาย และอายุที่มากขึ้น
- เบ้าตาลึก ตาโหล ที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น มักพบได้ในคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ทำให้เนื้อเยื่อใต้ตาจะค่อยๆ ยุบลง
- ถุงใต้ตาหย่อนคล้อย ที่เกิดจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรมที่ทำให้เกิดไขมันใต้ตา เช่น ขยี้ตาแรง พักผ่อนน้อย
- ริ้วรอยใต้ตา จากอายุที่มากขึ้น การใช้สายตาหนักเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตามีริ้วรอย
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องขอบตาคล้ำจากภูมิแพ้ได้ไหม?
การที่ผิวบริเวณใต้ดวงตามีสีดำคล้ำจากโรคภูมิแพ้ โดยหลัก ๆ แล้วมักจะเกิดจากภูมิแพ้จมูกอักเสบ หรือภูมิแพ้ตา ผู้ป่วยภูมิแพ้จมูกอักเสบมักจะมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก และจาม ผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง เยื่อบุจมูกมักจะบวม การบวมจะทำให้เลือดดำไหลผ่านได้ยาก เลือดดำจึงคั่งอยู่บริเวณใต้ตาล่างทำให้ผิวบริเวณใต้ตาล่างดำคล้ำนั่นเองค่ะ ส่วนผู้ป่วยภูมิแพ้ตา จะมีอาการคันตา เคืองตา อาการเหล่านี้ทำให้เผลอขยี้ตาแรงๆ ส่งผลให้ผิวหนังรอบดวงตาดำคล้ำ หรือมีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้น
การฉีดฟิลเลอร์จึงถือเป็นช้อยส์ที่ดีสำหรับคนที่อยากแก้ปัญหาใต้ตาดำคล้ำจากโรคภูมิแพ้ เพราะฟิลเลอร์สามารถปกปิดความคล้ำได้ดี เมื่อฉีดแล้วจะช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางหายไป และจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทันทีหลังทำ นอกจากนี้ยังทำให้ใบหน้าดูสดใส หน้าดูเด็กลง แถมไม่ต้องพักฟื้นหรือผ่าตัดให้เจ็บด้วยค่ะ
ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ก็คือ ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาได้หลากหลาย เช่น แก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ใต้ตาคล้ำ มีถุงใต้ตา เห็นผลลัพธ์หลังฉีดรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้นนาน อีกทั้งฟิลเลอร์สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้าง
- ใช้เวลาในการรักษาน้อย
- ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น ทำเสร็จสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
- เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ ฟิลเลอร์คือสารเติมเต็มที่มีลักษณะคงตัว เมื่อฉีดแล้วจะเข้าไปแทนที่ส่วนบกพร่องได้ทันที
- ช่วยลดความหมองคล้ำและเติมเต็มร่องลึกได้พร้อมกัน
- ฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา 1 ครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี
ส่วนข้อเสียในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ก็คือ
- มีอายุเพียง 4 ถึง 12 เดือนเท่านั้น
- อาจเกิดอาการบวมหรือช้ำได้
- ชะลอการผลิตกรดไฮยาลูโรนิกตามธรรมชาติ
- มีราคาแพงและมักไม่อยู่ในประกัน
- ความเสี่ยงของการติดเชื้อและความผิดปกติหากไม่ได้ใช้เทคนิคที่เหมาะสม
ฉีดฟิลเลอร์ Filler ใต้ตา ใช้กี่ CC
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ที่ข้างละประมาณ 1-2 CC ถ้าคนไข้อายุมาก หรือมีปัญหาใต้ตาเยอะ เช่น ใต้ตาลึกมาก เห็นร่องชัดเจน จำนวนฟิลเลอร์ที่ใช้แก้ปัญหาก็จะเยอะตามขึ้นไปด้วย ดังนั้นก่อนการฉีดแพทย์จะทำการประเมินปัญหาของคนไข้ก่อน เพื่อใช้ปริมาณได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีที่สุด
ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับคนที่มีปัญหาใต้ตาแต่ไม่อยากผ่าตัด แต่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับ
- คนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตา ที่เป็นสาเหตุให้ใบหน้าดูไม่สดใส เหมือนคนพักผ่อนน้อย
- คนที่มีปัญหากระดูกใต้ตาที่ยุบตัวลง จากอายุที่มากขึ้น ทำให้ดูตาโบ๋ ตาลึก
- คนที่มีปัญหาใต้ตาที่เกิดลักษณะทางพันธุกรรม ที่เป็นส่วนหนึ่งของตาโหล ตาดำ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล ?
โดยทั่วไปหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะมีแค่อาการบวมที่ใต้ตา รอยบวมนี้จะค่อยๆ หายไปเองใน 2-3 วันค่ะ และจะเป็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2-3 สัปดาห์ ส่วนระยะเวลาของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นาน 12-18 เดือน ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ด้วยนะคะ ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน
คำถามที่มักมาพร้อมกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
Q: ทำไม? บางคนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จากคนที่ไม่มีถุงใต้ตา กลับมีถุงใต้ตาขึ้นมาแทน แถมยังไม่ช่วยแก้ปัญหาและดูไม่เป็นธรรมชาติ
A: บริเวณใต้ตาถือเป็นส่วนที่ฉีดยากที่สุดบนใบหน้า เพราะผิวหนังที่ใต้ตาจะมีความบางมากๆ ดังนั้นการฉีดในแต่ละครั้งจะต้องฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งแพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถคำนวณปริมาณที่พอเหมาะของฟิลเลอร์สำหรับการฉีดแต่ละครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการ Over-correct (เกินพอดี) ได้ รวมถึงมีความแม่นยำสูงในการฉีดเข้าไปในตำแหน่งของชั้นผิวที่ถูกต้อง
Q: การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามีราคาค่อนข้างแพง มีอะไรที่ถูกกว่า ดีกว่า แล้วใช้ทดแทนฟิลเลอร์ได้ไหม?
A: อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าฟิลเลอร์ ถือเป็นหัตถการที่ตอบโจทย์ปัญหาใต้ตาได้ครอบคลุมที่สุดแล้ว เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถแก้ได้ทั้งปัญหาความลึกและสีหมองคล้ำในการฉีดเพียงครั้งเดียว
ส่วนในเรื่องของราคาที่บอกว่าแพง อยากให้ลองคำนวณเล่นๆ ดูว่า Eye Cream ที่ต้องเสียเงินซื้อทุกๆ เดือน บวกรวมเข้ากับเครื่องสำอางที่ต้องใช้แต้มปกปิดความหมองคล้ำหรือบางคนอาจจะมีค่าของการยิงเลเซอร์กับฉีดลดเม็ดสีเข้าไปอีก พอรวมแล้วราคาอาจจะสูงกว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพียงครั้งเดียวอีกด้วยที่สำคัญคือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาครั้งเดียว ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี หากคิดตามมาถึงตรงนี้แล้วถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือทำหัตถการอื่นๆ อยู่ อย่าลืมหาข้อมูลเยอะๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือได้มาตรฐานในระดับสากล มีการใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยและมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คอยดูแลตั้งแต่เริ่มจนตลอดการรักษาและหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหรือทำหัตถการอื่นเสร็จแล้ว อย่าลืมดูแลตัวเองเพื่อให้ผลลัพธ์จากการทำนั้นแสดงประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้อย่างเต็มที่
สนใจนัดจองคิวหรือปรึกษาเพิ่มเติม ทักก่อนสวยก่อนใครได้ที่ ✨✨
📞 085-0000855
🟣 Line OA : @apexlifting (มี @ นำหน้าด้วยนะคะ)
🟣 คลิก https://lin.ee/nxtKNtl
🟣 Facebook : Apex Profound Beauty
🟣 Inbox : https://www.facebook.com/ApexProfoundBeauty/inbox
🟣 IG : apexbeauty
APEX ของเรามีพร้อมทั้งเครื่องมือที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการนะคะ
#apex #apexmedicalcenter #เอเพ็กซ์ #เอเพ็กเมดิคอลเซ็นเตอร์ #เสริมความงาม #คลินิกเสริมความงาม #apexmedicalcenterมีกี่สาขา #apexclinicสาขาไหนดี #apexclinicรีวิว #apexclinicเลเซอร์ขน #apexclinicเลเซอร์รักแร้ #apexclinicทำตาสองชั้น #apexclinicทำหน้ากระชับ #apexclinicทำหน้าใส #เสริมหน้าอก
apexclinic เสริมหน้าอก ทำตาสองชั้น ฉีดวิตามินผิว filler ใต้ตา ลดต้นขา ปลูกผมที่ไหนดี ดูดไขมัน รักษาหลุมสิว เสริมจมูก